หน้าเว็บ

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เครื่องสำอางและอุปกรณ์

  เครื่องสำอาง สิ่งที่จะช่วยเสริมให้ใบหน้าและผิวพรรณ ดูสวยงามอีกทั้งยังช่วยเน้นจุดเด่นบนใบหน้า และอำพรางส่วนด้อยได้  ในปัจจุบันมีเครื่องสำอางมากมาย ทั้งชนิดและประเภท มีทั้งราคาไม่สูงมากนักจนถึงเครื่องสำอางราคาแพงขึ้นอยู่การโฆษณาและแบรนด์สินค้าชื่อดังต่างๆ แต่สิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดในการเลือกซื้อเครื่องสำอางก็คือสภาพผิวของเรานั้นเอง
1.  ประเภทของเครื่องสำอาง
            ประเภทของเครื่องสำอางประกอบด้วย
            1.1  ไพรเมอร์ หรือ เบส (Primer / Base)
                ไพรเมอร์ (Primer) เป็นเครื่องสำอางที่ใช้ลงก่อนแต่งหน้า  ใช้สำหรับปรับสภาพพื้นผิว ไม่ว่าจะเป็นความมัน  ปกปิดรูขุมขน  ปกปิดริ้วรอยเล็กๆ และเพื่อให้การแต่งหน้าเรียบเนียนติดทนนานยิ่งขึ้น ลักษณะของเครื่องสำอางไพรเมอร์ จะเป็นเนื้อครีมจะช่วยการแต่งหน้าโดยเฉพาะการรองพื้นติดทนนานซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของไพรเมอร์ วิธีใช้จะใช้หลังการดูแลบำรุงผิวพรรณ และทาครีมกันแดดเสร็จสิ้นแล้วจึงทาไพรเมอร์ โดยใช้เพียงเล็กน้อยประมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ทาให้ทั่วใบหน้า ถ้าใช้ปริมาณมากเกินไปจะจับตัวเป็นก้อน 

                เบส (Base) มีคุณสมบัติในเรื่องของการปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอซึ่งตามท้องตลาดจะเห็นผลิตภัณฑ์ตัวนี้หลากหลายสี ซึ่งเหมาะกับสีผิวที่ต่างกัน 
1.2   รองพื้น  (Foundation)
             ชนิดของรองพื้นก็มีหลายประเภทแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวสีของผู้แต่งได้ 
                1.2.1  รองพื้นชนิดน้ำ  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่มีจุดด่างดำ หรือริ้วรอยน้อย ซึ่งรองพื้นชนิดน้ำจะปกปิดผิวที่มีรอยแดง จุดด่างดำหรือริ้วรอยแทบไม่ได้เลย ด้วยความบางเบาจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวพรรณสุขภาพดี หรือเหมาะสำหรับวัยรุ่นหรือวัยทำงาน 


                1.2.2  รองพื้นชนิดครีมเข้มข้น  เป็นรองพื้นที่มีเนื้อครีมเข้มข้นจับตัวเป็นก้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดริ้วรอย แก้ไขจุดด้อย จุดด่างดำได้ดีเป็นพิเศษ ใช้ได้กับทุกสภาพผิว มีสีให้เลือกตามสีผิว ซึ่งการแต่งหน้าใช้ดูตามธรรมชาติควรเลือกรองพื้นให้มีสีใกล้เคียงกับผิวของเรามากที่สุด
            1.3  แป้งแต่งหน้า  (Face  powder)
             แป้งที่ใช้แต่งหน้าโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิดซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน คือ
                1.3.1  แป้งฝุ่น  คือแป้งชนิดที่มีเนื้อละเอียดบางเบา เหมือนฝุ่นละอองเล็กๆ มีคุณสมบัติ ช่วยให้ผิวดูนวลเนียนเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ช่วยดูดซับความมันหลังการแต่งหน้าได้เป็นอย่างดี และทำให้รองพื้นติดทนนานมากขึ้น 
                1.3.2  แป้งแข็ง  คือแป้งฝุ่นเนื้อละเอียดเช่นเดียวกัน แต่ถูกอัดแข็งลงในตลับแป้ง เพื่อความสะดวกในการพกพา และสำหรับการเติมแป้งระหว่างวัน ซึ่งมี 2 ลักษณะ ได้แก่
                -  ชนิดไม่มีรองพื้น จะเป็นแป้งฝุ่นที่ไม่มีรองพื้นเป็นส่วนผสม ใช้สำหรับเติมแป้งระหว่างวัน มีเนื้อแป้งที่เบา
                 -  ชนิดผสมรองพื้น  เป็นแป้งฝุ่นอัดแข็งที่มีส่วนผสมของรองพื้น ช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา เพราะชนิดผสมรองพื้นสามารถทาได้โดยไม่ต้องลงรองพื้นก่อน ทำให้ติดทนนานและสามารถเติมแป้งระหว่างวันได้
1.4  อายแชโดว์ (Eye shadow)
                1.4.1  อายแชโดว์ชนิดฝุ่น  เป็นอายแชโดว์ชนิดเนื้อฝุ่นหรือเนื้อผง เป็นอายแชโดว์ที่ทาง่าย และทำความสะอาดง่ายเมื่อเกิดการเลอะบนใบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มหัดแต่งหน้า เพียงใช้ฟองน้ำชนิดแท่ง หรือนิ้วมือของเราก็สามารถแต่งเปลือกตาให้เกิดสีสันได้
               1.4.2  อายแชโดว์ชนิดฝุ่นอัดแข็ง  เป็นชนิดที่นิยมใช้มากที่สุด และมีหลายสีให้เลือกใช้ อายแชโดว์ชนิดนี้มักจะทำออกมาในรูปแบบของตลับหรือถาด มีหลายสี หรือจัดเป็นโทนสีเพื่อสะดวกในการเลือกใช้  โดยใช้คู่กับพู่กัน หรือฟองน้ำชนิดแท่งแต่งบนเปลือกตา บางชนิดจะผสมกริตเตอร์ (Grittier) เพื่อให้เกิดเป็นประกายแวววาวที่เปลือกตา
             1.4.3  อายแชโดว์ชนิดครีม  เป็นอายแชโดว์ที่แตกต่างจาก 2 ชนิดแรก คือมีลักษณะเป็นเนื้อครีมอ่อนนุ่ม บรรจุในรูปของแท่งดินสอ หรือตลับ ซึ่งให้จะสีที่ไม่เข้มเกินไป และมีความมันวาว ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ผู้ที่มีผิวค่อนข้างเข้ม และยังให้สีที่ติดทนได้นานกว่าอายแชโดว์ 2 ชนิดแรก



วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลักษณะผิวแบบต่างๆ

ความแตกต่างของสีผิว ในปัจจุบันสามารถแบ่งแยกได้มากกว่า   4 สีผิว เพราะมีการผสมผสานระหว่างสีผิว ทำให้ยุคปัจจุบันลูกครึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถจัดลักษณะผิวได้ออกเป็นกลุ่มใหญ่ ได้ 4 ประเภท

1.  ผิวขาวชมพู
ผิวขาวอมชมพู
     เป็นผิวที่ลักษณะเด่นคือความขาวออกชมพู ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก เกาหลี และญี่ปุ่น การแต่งหน้า และการเลือกใช้เสื้อผ้าจึงไม่มีขีดจำกัด เราสามารถเลือกแต่งได้ทุกสีสันทุกโทนสี เพราะผิวพรรณมีลักษณะขาวนวลผ่อง และบางคนยังมีสีชมพูผสมอยู่มากกว่าผิวสีอื่น ผิวจึงดูสว่างสดใส

2. ผิวขาวเหลือง
ผิวขาวเหลือง
    สีผิวขาวเหลืองมีความเด่นอยู่ในตัว  เป็นสีผิวกลางๆ ลักษณะสีผิวชนิดนี้สามารถแต่งหน้าแต่งเสื้อผ้าได้แทบทุกโทนสี เช่นเดียวกับผิวขาว สีที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นสีส้ม หรือสีบรอนซ์ หรือสีทอง ดำ ขาว  เพราะผิวจะอยู่ระหว่างสีผิว 2 ประเภท คือสีดำกับผิวขาวเหลืองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนเอเชีย  การแต่งหน้าจึงควรยึดหลักในโทนสีผิวของตน คือดูจากความกลมกลืน เช่น ดำกลมกลืนกับเท่าฉะนั้น ผิวขาวก็กลมกลืนกับสีชมพู ผิวแทนจะดูกลมกลืนกับสีส้มหรือบรอนซ์ 

3.  ผิวแทนหรือผิวสีน้ำผึ้ง
ผิวแทนหรือผิวสีน้ำผึ้ง

     ผิวแทนเป็นสีผิวที่ดูแล้วมีเสน่ห์ มีความเซ็กซี่ในสีผิว  ชาวตะวันตกจะชอบผิวสีนี้ จึงนิยมการอาบแดด (get suntan) กันมาก การแต่งหน้านิยมใช้สีโทนร้อน (Yellow  base) เช่น ทอง  เหลือง แดง ส้ม  ส้มอมน้ำตาลเป็นต้น

4.  ผิวดำหรือผิวคล้ำ
ผิวดำหรือผิวคล้ำ

     สีผิวของคนผิวดำจะมีโทนน้ำตาลเทาและส้มผสมอยู่มาก ผิวชนิดนี้ถูกแสงแดดทำให้ผิวยิ่งคล้ำมากขึ้น ฉะนั้น คนที่ผิวกลุ่มนี้ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง การแต่งหน้าและการเลือกใช้เสื้อผ้ามีขีดจำกัด สีที่เหมาะสมที่สุดก็เป็นสีดำและเทา รองลงมาเป็นสีน้ำตาลเทา น้ำตาลอ่อน  น้ำตาลแดง ส้มน้ำตาล ระดับของสีผิวคล้ำยังสามารถแยกออกไปอีกได้แก่ สีอ่อน กลาง เข้ม ซึ่งจะแต่งหน้าและแต่งตัวตามระดับของสีผิวได้

ลักษณะของผิวหน้า

สภาพของผิวหน้าแบบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1.  ผิวมัน  คือผิวที่เกิดจากต่อมไขมัน ทำงานมากเกินปกติ และรูขุมขนมีขนาดใหญ่ จึงเกิดความมันโดยเฉพาะบริเวณ T-ZONE ปัญหาที่ตามมาคือ สิว เพราะเกิดการอุดตันของน้ำมันตามรูขุมขน แต่ข้อดีของคนผิวมันคือ จะไม่เกิดปัญหาเรื่องริ้วรอยได้ง่ายเหมือนผิวประเภทอื่น การดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันและป้องกันการเกิดสิว


ลักษณะผิวมัน


2. ผิวแห้ง คือผิวบริเวณแก้ม มีความแห้ง บนใบหน้า มีความมันน้อย หรือไม่มีเลย ผิวตึง รู้สึกไม่ค่อยสบายผิว ผิวลอกเป็นขุย ไม่เรียบเนียน ซึ่งมีสาเหตุมาจากผิวขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติ และไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ตรงกันข้ามกับผิวมัน ผิวแห้งจะมีรูขุมขนที่ละเอียด แต่ผิวแห้งกร้านและอาจถึงขั้นลอกเป็นขุย ผิวไม่นุ่มนวลเกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะมีแนวโน้มแห้งมากขึ้น เพราะต่อมไขมันทำงานช้าลง การดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและป้องกันการเกิดริ้วรอย
ลักษณะผิวแห้ง


3.  ผิวผสม  คือผิวที่มีทั้งผิวแห้งและผิวมัน ซึ่งผิวค่อนมันอยู่ในบริเวณ T-ZONE (บริเวณ หน้าผาก จมูก คาง) ต่อมไขมันบริเวณนี้จะมีขนาดใหญ่และทำงานได้ดีกว่าบริเวณอื่น ทำให้มีปัญหาเรื่องสิวได้ ส่วนผิวบริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง มีลักษณะผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง การดูแลผิวจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยปรับสมดุลของผิวทั้ง 2 บริเวณให้ใกล้เคียงกัน
ลักษณะผิวผสม


4.  ผิวธรรมดา  เรียกได้ว่าเป็นผิวที่ดีที่สุด มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผิวแห้งมากเกินไป หรือมันเกินไป  ปัญหาเรื่องริ้วรอยหรือสิวจึงพบได้น้อย  นอกจากการทำความสะอาด ปรับสภาพผิวและเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวแล้วก็ควรดูแลผิวเพิ่มเติมเมื่อต้องไปเผชิญกับสภาวะกับอากาศที่ร้อนหรือหนาวจัด เพื่อคงสุขภาพผิวที่ดีไว้
ลักษณะผิวธรรมดา